เอสเอ็มอีเติบโต
ประเทศเจริญ
ทำไม
ภาครัฐของทุกประเทศจึงให้ความสนใจกับ “เอสเอ็มอี” หรือ กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม
(SME หรือ Small and Medium Enterprises ) เหตุผลก็คงเพราะเมื่อเอาผลการดำเนินงานของเอสเอ็มอีทั้งหมดในประเทศมารวมกัน
ผลรวมที่ได้จะมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของประเทศอย่างชัดเจน ตัวอย่าง เช่น
เอาผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอีในประเทศไทยทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน จะมีขนาดใหญ่ถึงประมาณร้อยละ
40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศไทย การจ้างงานที่เกิดในเอสเอ็มอีมีปริมาณมาก
มากกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ
การส่งออกไปต่างประเทศของเอสเอ็มอีก็อยู่ในปริมาณที่สูง คือ มากกว่าร้อยละ 30
ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งประเทศไทย เป็นต้น
ความสำคัญของเอสเอ็มอีนั้นมีอยู่หลายด้าน
ทั้งความสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศและความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่างๆในประเทศไทย
เพราะเอสเอ็มอีเป็นหน่วยที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ จากสถิติในปี พ.ศ. 2559 พบว่า เอสเอ็มอีของประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 3,000,000 ราย เอสเอ็มอีถือเป็นทั้งหน่วยที่ป้อนวัตถุดิบต่างๆให้กับอุตสาหกรรม เป็นหน่วยผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศ
และยังเป็นหน่วยที่รับผลผลิตจากอุตสาหกรรมไปกระจายสู่ส่วนต่างๆของประเทศไทยด้วย เช่น
เอสเอ็มอีที่เป็นกิจการผลิตอาหารและเกษตร
คือ หน่วยที่ตอบสนองความต้องการในการบริโภคสินค้าต่างๆ
เอสเอ็มอีที่เป็นร้านค้าปลีกถือเป็นหน่วยที่กระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคในพื้นที่ทั่วประเทศไทย
เอสเอ็มอีที่เป็นร้านอาหารถือเป็นหน่วยที่ให้บริการผู้บริโภค ซึ่งร้านอาหารจะกระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย
จึงเป็นส่วนที่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศมีการเคลื่อนไหว
มีการใช้จ่ายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง ดังนั้น การที่ภาครัฐส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเติบโต
จึงมีความสำคัญต่อการทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
จากข้อมูลการเริ่มเอสเอ็มอีและการเลิกกิจการ
พบว่า เกือบครึ่งที่ไปไม่รอด ดังนั้น
เอสเอ็มอีจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการอยู่รอดและการเติบโตของเอสเอ็มอี
ซึ่งปัจจัยสำคัญหลักมีดังต่อไปนี้
1)
ความรู้ด้านธุรกิจและตลาด
ผู้บริหารเอสเอ็มอีต้องเข้าใจใน
“ลักษณะความเป็นผู้ประกอบการ” ที่สำคัญ เช่น การมีวิสัยทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์
ความมุ่งมั่นและเป้าหมายชัดเจน มีกระบวนการในการจัดการความเสี่ยงในเรื่องต่างๆของกิจการ
ต้องไม่สะเปะสะปะ “ไม่มั่ว” ต้องเข้าใจหลักธุรกิจและการทำการตลาด
ต้นทุนที่เหมาะสมอยู่ที่จุดไหน จะตั้งราคาเท่าไร เมื่อไรจะคืนทุน
หากไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง การหาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญถือเป็นทางเลือกที่ดี
2)
การจัดการด้านวิจัย นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ใหม่
การมีผลิตภัณฑ์ใหม่
คือ หัวใจของการเติบโต ซึ่งต้องติดตามตลาดหรือผู้บริโภคเป้าหมายของตนเองอยู่เสมอ
การมีนวัตกรรมถือเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงในกิจการและตลาด
รวมถึงสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วย
3)
การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
มีเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา
ทั้งอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แอพพลิเคชั่นใหม่ๆในมือถือ ความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร
กลุ่มการติดต่อสื่อสารในเฟสบุ๊คหรือในไลน์ การพัฒนาหุ่นยนต์หรือโรบ็อทมาทำงานแทนมนุษย์
เอสเอ็มอีต้องมีความรู้และทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้สามารถปรับตัวตามผู้บริโภคหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพดีมากขึ้น
4)
การเปลี่ยนแปลงทางการเงิน
ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่เอื้อต่อการดำเนินชีวิตและเอื้อต่อธุรกิจ
ทำให้การทำธุรกรรมทางด้านการเงินมีความง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เอสเอ็มอีต้องศึกษา หาความรู้
และทำการปรับใช้เทคโนโลยีทางการเงินที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าของตนเอง
เช่น การจ่ายเงินด้วยคิวอาร์โค๊ด (QR code) เป็นต้น
5)
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
ผู้บริโภคสมัยใหม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่จึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งด้านความสนใจในเรื่องสุขภาพ ความงาม เรื่องอนามัยและความปลอดภัยของอาหารการกิน
ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบตัว การรับรู้และความสนใจที่เปลี่ยนไป
สนใจเรื่องของสังคมผ่านสื่อออนไลน์และเอพพลิเคชั่นในมือถือมากขึ้น
รวมถึงการแชร์ข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดความสนใจหรือความไม่พอใจ การติดต่อสื่อสารด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีมากขึ้น
เช่น การใช้ไลน์ทั้งส่วนตัวและกลุ่มที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เอสเอ็มอีจำเป็นที่จะต้องเข้าใจเรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่
เพื่อการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องและสนับสนุนการบริโภคในรูปแบบใหม่ดังที่กล่าวมา
6)
การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม
ทั่วโลกให้ความใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกร้อน ภัยธรรมชาติ สภาพอากาศผันผวน และการทำลายป่าไม้
ผลกระทบจากประเด็นเหล่านี้ส่งอิทธิพลในระดับโลก
ผู้บริโภคสมัยใหม่ให้ความสนใจเรื่องเหล่านี้มากขึ้น
ทำให้เกิดนวัตกรรมเชิงสังคมหรือการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการต่างๆ
เพื่อดึงดูดความสนใจและการสนับสนุนจากผู้บริโภคสมัยใหม่
เอสเอ็มอีเองก็ควรให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้
นอกจากจะเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเชิงสังคมแล้ว
ยังทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อกิจการด้วย ตัวอย่าง
เอสเอ็มอีที่ผลิตภาชนะที่เป็นกระดาษใช้แทนกล่องโฟม เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น